ตลท.ยกเครื่องชุดใหญ่ คุมเข้มบริษัทในตลาดหุ้น สกัดซ้ำรอยวิกฤต STARK
ตลท.จ่อขยายเวลาเทรดหุ้นบ่ายเร็วขึ้น 30 นาที เปิดฟังความเห็นถึง 24 พ.ย. 66
ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพันธมิตร สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 – 2567 (CEO Survey: Economic Outlook 2023 – 2024) เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การประกอบธุรกิจ และประเด็นที่น่าสนใจ โดยรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 16 ส.คคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. – 30 ก.ย. 2566 มีบริษัทจดทะเบียนร่วมตอบแบบสอบถาม 68 บริษัท จาก 21 หมวดธุรกิจ รวม 26.2% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ 31 ต.ค. 2566
โดย CEO ส่วนใหญ่ 61% คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะดีขึ้น แต่ลดลงกว่าการคาดการณ์ไว้ในการสำรวจครั้งก่อน โดยจะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% และมองว่าเศรษฐกิจในปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4%
ทั้งนี้มองว่าการท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 และต่อเนื่องในปี 2567 ขณะที่เสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2566
ขณะเดียวกันมีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตทั้ง ต้นทุนราคาเชื้อเพลิงและต้นทุนวัตถุดิบและกำลังซื้อภายในประเทศ ขณะที่ การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกต่อบริษัท
สำหรับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ และการเติบโตของเศรษฐกิจ มองว่า รัฐบาลควรออกนโยบายที่สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่สร้างภาระด้านการคลังในอนาคตมากเกินไป และต้องเป็นนโยบายที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาดและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
โดยรวมถึงควรสนับสนุนให้เอกชนร่วมเสนอนโยบาย ตลอดจนเร่งการปลดล็อกกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัยเพื่อส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และพยายามรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นและ ช่วยดึงดูดเงินลงทุนของต่างประเทศ และสร้างประเทศเป็นจุดเชื่อมโยงระดับภูมิภาค สรุปได้ 5 ประเด็นหลัก
เร่งส่งเสริมเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
- ออกมาตรการส่งเสริมโครงสร้างขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจน อาทิ มาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG model เช่น การให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีส่งเสริมพิเศษ การจับคู่ธุรกิจ กับลูกค้าต่างประเทศ การส่งเสริมเครือข่ายทางธุรกิจ การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมองค์กรนวัตกรรมกระบวนการและนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่
- ออกนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น การให้สิทธิดอกเบี้ยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษ์โลก โดยต้องการให้นโยบายมีความครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งหลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในกรอบการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการเกิดของเสียน้อยที่สุด ตามแนวคิด manufacture and recycling
กระตุ้นเครื่องยนต์กลไกในการขับเคลื่อน หรือ สร้างการเติบโตเศรษฐกิจปัจจุบัน
- ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน เพิ่มกำลังซื้อ เพื่อเพิ่มการบริโภคภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
- ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- เร่งดำเนินการผลักดันการลงทุนโครงการภาครัฐ
- ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
- ส่งเสริมการส่งออก
เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันภาคเอกชน และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม
- รัฐบาลควรจะให้การทำธุรกิจของภาคเอกชนเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ไม่ควรที่จะเข้าไปควบคุม แทรกแซงราคา และกำไรของธุรกิจ อาทิ การให้ความรู้กับประชาชนให้เข้าใจเกี่ยวกับการแก้หนี้อย่างยั่งยืนมากกว่าการที่เข้ามาแทรกแซงการแข่งขันของธุรกิจ เพราะสุดท้ายผู้ให้สินเชื่อรายเล็กๆ จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนต่างๆ ไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้
- ลดการให้สิทธิพิเศษแก่หน่วยงานรัฐที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรม
- อนุญาตให้นำเข้าสินค้าบางประเภทที่มีผู้ผลิตเพียงรายเดียวซึ่งทำให้มีอำนาจในการควบคุมราคา ช่วยลดต้นทุนการผลิตสูงและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
- เพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยลดต้นทุนธุรกิจ เช่น การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีต้นทุนที่เหมาะสมการลดค่าไฟฟ้า การสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพ
- สนับสนุนให้เกิดแหล่งรวบรวมข้อมูลผู้ผลิตและบริการภายในประเทศ (supplier database) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้าง
- ส่งเสริมนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ในการรวบรวมข้อมูลวัสดุเหลือใช้ภายในโรงงานอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำผ่านเทคโนโลยีให้เข้าถึงข้อมูลโดยง่ายรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีตรวจสอบสถานะคู่ค้าที่เป็นผู้ผลิตและผู้ขนส่งที่มีส่วนสร้างขยะหรือของเสีย (waste producer & transportation)
- ทำความตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าและกลุ่มความร่วมมือที่สำคัญ โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์ของแต่ละอุตสาหกรรม และออกมาตรการเพื่อรับมือมาตรการกีดกันการค้าด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสากล
สร้างแรงส่งและนโยบายสนับสนุนรายอุตสาหกรรม
- กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ออกนโยบายแก้ปัญหาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง และมีผลกระทบอย่างมากในระบบห่วงโซ่อุปทาน ให้ดำเนินนโยบายตามที่วางไว้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และสิ่งก่อสร้างผ่อนปรนเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ให้ชาวต่างชาติ
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมออกนโยบายการสนับสนุนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร แทนนโยบายปัจจุบันมุ่งเฉพาะการอุดหนุนต้นทุนตัวรถยนต์เป็นหลัก โดยยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอื่นๆ ใน Eco System ของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ธุรกิจการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า ธุรกิจประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเบี้ยประกันสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากยังลังเลในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลจึงควรสนับสนุนการลดต้นทุนของ Eco System ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
- กลุ่มทรัพยากรมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด / พลังงานทดแทน และรักษาระดับต้นทุนพลังงาน
- กลุ่มบริการ ออกมาตรการช่วยเหลือทางธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสาธารณสุข และเร่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่ขาดแคลน
ส่งเสริมด้านแรงงาน
- เร่งรัดการผ่านพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานอิสระ (พรบ.) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ พรบ. ดังกล่าว กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงาน รวมถึงการจัดให้มีประกันเพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขภาพด้วย
- พัฒนาแรงงานให้เป็นแรงงานมีฝีมือ (skilled labor) แต่ภาพลักษณ์ของการสนับสนุนจากภาครัฐยังคงรูปแบบมุ่งไปที่แรงงานกรรมกรหรือแรงงานที่มีค่าจ้างต่ำ มากกว่าการส่งเสริมให้แรงงานพัฒนาฝีมือ
- ปรับอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำควรค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นขั้นตอน